นักพฤกษศาสตร์ชุมชน (บ้านสิงห์ อ.นางรอง) นวัตกรรมสุขภาพท้องถิ่น

คำว่า “นักพฤกษศาสตร์ชุมชน” เป็นศัพท์เรียกในการทำงานของมูลนิธิสุขภาพไทยเพื่อให้ชุมชนหันกลับมาสนใจพืชพันธุ์ในชุมชน ที่มีความสำคัญทั้งในด้านอาหาร สมุนไพร และใช้ประโยชน์อื่น ๆ มากมาย รวมถึงพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สร้างรายได้ในกับชุมชนด้วย

สำหรับ คำว่า นักพฤกษศาสตร์ หรือ botanist เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกมีพัฒนาการมายาวนาน และมีความสำคัญมาก เพราะนักพฤกษศาสตร์นอกจากเป็นผู้สนใจพืชพันธุ์แล้ว เขายังทำงานสำคัญ ๆ ในการศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับชีววิทยาของพืช ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับพืช เช่น ความหลากหลายของชนิดพันธุ์พืช ศึกษาเกี่ยวกับสรีรวิทยาของพืชเติบโตอย่างไร สร้างอาหารอย่างไร ศึกษาพืชอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นอย่างไร และทำงานสำคัญในการศึกษาและค้นพบความรู้ที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่นค้นพบสารอาหารในพืช พบยารักษาโรค ฯลฯ และนักพฤกษศาสตร์ยังทำหน้าที่จำแนกจัดหมวดหมู่พืชหรือที่เรียกว่า อนุกรมวิธานของพืชที่มีอยู่ในประเทศไทยหรือในโลก ซึ่งทำให้เรารู้จักพืชได้ถูกต้น และนำมาใช้ได้อย่างปลอดภัย

เมื่อนำเอาคำว่า ”นักพฤกษศาสตร์” รวมกับคำว่า “ชุมชน” นั้น พบว่ามีนักวิจัยฝรั่งทีมหนึ่งทดลองลงไปทำงานที่ประเทศสาธารณรัฐคอสตาริกา (อยู่ในภูมิภาคอเมริกากลาง) ซึ่งนักวิจัยได้ทำการอบรมฝึกฝนให้คนในท้องถิ่นเรียนรู้การสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพ ทำการจำแนกแยกแยะพืชและจัดทำอนุกรมวิธานของพืชด้วย โดยเขาเรียกคนทำงานในชุมชนนี้ว่า พาราแท็กโซโนมิสต์ (Parataxonomist) เมื่อดูคำศัพท์จะทำให้เราเข้าใจเพิ่มขึ้นได้ว่า taxonomist หมายถึง นักอนุกรมวิธาน ส่วนคำว่า Para มาจากภาษาละติน ซึ่งมีความหมายถึง ข้าง ใกล้เคียง และยังให้ความหมายถึงการปกป้องด้วย ดังนั้นฝรั่งเขาตั้งชื่อ พาราแท็กโซโนมิสต์ (Parataxonomist) จึงให้คุณค่ากับคนที่เป็นผู้ช่วยหรืออยู่เคียงข้างนักพฤกษศาสตร์ (ยังไม่ใช่นักพฤกษศาสตร์ตัวจริง เป็นผู้ช่วย) แต่ก็เป็นคนช่วยปกป้องพันธุ์พืชของชุมชนด้วย

“นักพฤกษศาสตร์ชุมชน” ที่มูลนิธิสุขภาพไทยขับเคลื่อนอยู่นี้ อาจเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ตามภาษาอังกฤษว่า Community Botanist ผู้ที่ผ่านการอบรม(เบื้องต้น)มีความรู้ด้านพฤกษศาสตร์พืช เป็นคนอยู่ในชุมชนและทำงานร่วมกับชุมชนในการสำรวจ ศึกษา การอนุรักษ์ การใช้ประโยชน์ และจัดการทรัพยากรพืชในชุมชนนั้น ๆ โดยเชื่อมโยงกับภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น อาหารพื้นบ้าน ยาสมุนไพร เป็นต้น

ตัวอย่าง ที่ชุมชนบ้านสิงห์ ต.บ้านสิงห์ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ เป็นพื้นที่ใหม่ซิง ๆ ที่ได้ลงไปทำงานด้วย แต่ไม่ได้หมายถึงวิถีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นไม่มีอะไรอยู่เลย ในทางกลับกันคนบ้านสิงห์เมื่อได้ทำงานด้วยหลักการ บ.ว.ร.(บ้าน วัด โรงเรียน) ก็เกิดขบวนการนักพฤกษศาสตร์ชุมชนที่น่าสนใจ การลงพื้นที่สำรวจชุมชนพบหมอพื้นบ้าน พบพระภิกษุผู้ใช้ธรรมโอสถและสมุนไพรโอสถ และพบนักเรียนคนรุ่นใหม่ใสใจภูมิปัญญาท้องถิ่น

เมื่อนักพฤกษศาสตร์ชุมชนบ้านสิงห์ ประกอบด้วย อาสาสมัครสาธารณสุข บุคลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ครูและนักเรียนจากโรงเรียนสิงหวิทยาคม ได้ผ่านการอบรมแล้วลงพื้นที่สำรวจทั้งพืชและภูมิปัญญา พบสิ่งที่น่าสนใจทำให้คนใชนชุมชนตื่นเต้นและตื่นตัวกับของดีในชุมชนหลายเรื่อง ยกตัวอย่างสัก 2 เรื่อง

1.ปัจจุบันที่บ้างสิงห์ได้สำรวจและจำแนกชนิดพืชได้แล้วมากกว่า 50 ชนิด แต่ขอเล่าถึงไม้ล้มลุกหรือวัชพืชที่มองข้าม ชาวบ้านเรียก สะเดาดิน แต่เมื่อจำแนกตามหลักวิชาพฤกษศาสตร์แล้วคือต้น กรดน้ำ ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scoparia dulcis Linn. เป็นไม้ล้มลุกอายุ 2 ปี ลำต้นตั้งตรง สูง 30-80 เซนติเมตร เป็นพุ่ม แตกกิ่งแผ่สาขามาก ลำต้นเป็นเหลี่ยม ไม่มีขน กิ่งเล็กเรียว ถิ่นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาเขตร้อน ปัจจุบันพบขึ้นทั่วไปในเขตร้อนชื้น ในประเทศไทยพบขึ้นทั่วทุกภาค พบเห็นเป็นวัชพืชในที่รกร้างที่เรามักมองข้าม แต่เมื่อนักพฤกษศาสตร์ชุมชนบ้านสิงห์ไปคุยกับหมอพื้นบ้านก็พบคำแนะนำให้เรียนรู้ด้วยการให้ชิมใบเล็ก ๆ ของสะเดาดินนี้ ลิ้มรสขมน้อย ๆ หมอพื้นบ้านจึงแนะนำว่า

นำต้นและใบสด 1 กำมือ (ล้างน้ำให้สะอาด)นำมาต้มกับน้ำ 3 แก้ว เคี่ยวนาน 30 นาที แบ่งน้ำยามาดื่มก่อนอาหารเช้าและเย็น ใช้เป็นยาแก้โรคเบาหวาน บางตำรับยาก็แนะนำว่าส่วนของรากก็มีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคเบาหวานได้เช่นกัน หมอพื้นบ้านสอนเคล็ดลับว่าถ้าเด็ดใบกินช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นรสชาติจะออกรสหวานด้วย แต่ถ้าเก็บใบช่วงเที่ยง ๆ รสชาติจะขม ด้วยเหตุนี้หรือไม่ไม่ทราบ ในความรู้ดั้งเดิมกล่าวว่า สะเดาดินหรือกรดน้ำทั้งต้นจะมีรสชุ่มหวาน ขมเล็กน้อย ไม่มีพิษ เป็นยาเย็น ออกฤทธิ์ต่อตับ กระเพาะ และลำไส้ใหญ่ มีสรรพคุณเป็นยาขับพิษร้อนถอนพิษไข้ แก้ไอร้อน ไอหวัด ลดไข้ แก้เด็กเป็นไข้อีสุกอีใส และช่วยขับเสมหะ

2.ห้องอบสมุนไพรที่วัดหนองกง วัดแห่งนี้จัดกิจกรรมถือศีลฝึกปฏิบัติธรรมอยู่เป็นประจำ ท่านเจ้าอาวาสสร้างห้องอบสมุนไพรเพราะเชื่อมั่นและเห็นคุณค่าการอบสมุนไพรช่วยให้เลือดลมหมุนเวียนดี ขับเหงื่อขับของเสีย จิตใจผ่อนคลาย บรรเทาอาการปวดเมื่อยเนื้อตัว ทั้งยังช่วยให้หายใจโปร่งสบาย ช่วยให้หลับสบายดีต่อสุขภาพ และเมื่อนักพฤกษศาสตร์ชุมชนบ้านสิงห์สำรวจพื้นที่ได้ช่วยส่งเสริมการปลูกสมุนไพรที่นำมาใช้ในห้องอบที่วัด และจากการเก็บข้อมูลมากว่าร้อยคนมีความพอใจและพบว่าร่างกายสดชื่น หลายคนมาอบสมุนไพรที่วัดเป็นประจำ

นักพฤกษศาสตร์ชุมชนบ้านสิงห์ ยังทำให้ค้นพบความรู้หรือตำรับยาท้องถิ่นช่วยบำรุงน้ำนม แก้อาการตกขาว แก้นิ่ว และช่วยแก้เบาหวาน รวมถึงการรวมพลังกันปลูกและอนุรักษ์สมุนไพรในพื้นที่ด้วย ครั้งหน้าจะขอเล่าถึงนักพฤกษศาสตร์อีกสัก 1 ชุมชนให้เห็นถึงนวัตกรรมในพื้นที่.

https://www.thefest.com/Images/acetoto888/ https://www.thefest.com/Images/acegaming888/ https://www.thefest.com/Images/plazaslot/
slot thailand