สำเภา หรือ บกคาย มีคุณค่าแต่หาได้น้อยลง

สำเภา เรียกตามอย่างคนภาคกลาง บกคาย เรียกชื่อกันในหมู่คนภาคอีสาน

ชื่อเรียกวิทยาศาสตร์ว่า Chaetocarpus castanicarpus (Roxb.) Thwaites ซึ่งพืชสกุลนี้ Chaetocarpus Thwaites เดิมอยู่ภายใต้วงศ์ ยางพารา (Euphorbiaceae) แต่ต่อมาวงการวิชาการได้ย้ายให้มาอยู่ในวงศ์สำเภา (Peraceae) ในฐานข้อมูลระดับโลกของสวนพฤกษศาสตร์หลวง เมืองคิว พบว่าพืชในสกุลนี้ทั่วโลกมี 16 ชนิด พบทั่วไปในเขตร้อน แต่ในไทยพบเพียงชนิดเดียว คือ Chaetocarpus castanicarpus (Roxb.) Thwaites คือ สำเภาหรือบกคาย

ชื่อสกุล Chaetocarpus Thwaites นี้มาจากภาษากรีก “chaite” หมายถึงขนแข็ง และ “kapos” หมายถึงผล ดังนั้น สำเภาหรือบกคาย จึงมีลักษณะของผลที่มีขนแข็งหนาแน่น เป็นไม้ยืนต้น ไม่ผลัดใบ อาจสูงได้ถึง 45 เมตร มีดอกแยกเพศอยู่คนละต้น หูใบรูปขอบขนาน ร่วงเร็ว ใบ รูปไข่ ดอกออกเป็นกระจุกหนาแน่น มีขนหยาบแข็ง ดอกขนาดเล็กสีเขียวอมเหลือง ผลแห้งแตก เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8–1.8 เซนติเมตร สีเหลืองอมเขียว เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล มีขนแข็งหนาแน่น ปลายขนมีเงี่ยง เมล็ดรูปไข่ สีดำ ถิ่นกำเนิดศรีลังกา อินเดีย (อัสสัม) บังคลาเทศ หมู่เกาะอันดามัน พม่า ภูมิภาคอินโดจีน คาบสมุทรมลายู สุมาตรา บอร์เนียว ไทย เวียดนาม ในไทยพบทุกภาค ขึ้นตามริมลำธาร ชายป่าพรุ ป่าชายหาด ป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น ความสูงถึงประมาณ 500 เมตร

เนื่องจากกระจายในทั่วทุกภาคจึงมีชื่อท้องถิ่นหลายชื่อ เช่น ขี้หนอน (ภาคกลาง) ขี้หนอนขาว อะกาง (ภาคใต้) ชี่ ซี (ปราจีนบุรี) ดังข้าว (พังงา) ดังข้าวเม่า (ตรัง) ตูเบื้อง (ภูเก็ต) บาตู (มาเลย์-นราธิวาส) ปะดังขาว (สตูล) มะอึกค่าง (สุราษฎร์ธานี) สนั่น (ตราด) สำเภา (ชลบุรี ภาคกลาง) หมักควาย (นครปฐม) บกคาย (ภาคอีสาน) เหตุที่ชื่อเรียกว่า “สำเภา” น่าจะมาจากเนื้อไม้มีความแข็งปานกลาง ลายไม้แน่น ทนทาน สีแดงอ่อน ใช้เป็นไม้สำหรับงานก่อสร้าง และในอดีตนำมารทำเรือสำเภา เรือสำปั้น และเสาเรือ แต่ที่คนในภาคอีสานเรียกว่า “บกคาย” เพราะมีลักษณะต้นคล้ายต้นกระบกหรือต้นบก (Irvingia malayana Oliv. ex A.W.Benn.) เกสรมีเป็นจำนวนมาก ลักษณะเป็นหนามคมมาก หากร่วงลงใส่เสื้อผ้าจะก่อให้เกิดการคันคาย (ระคายเคือง) ที่ผิวหนัง เกสรเหล่านี้กำจัดออกจากเสื้อผ้าได้ยากมาก จนถึงขั้นต้องทิ้งเสื้อผ้า คนอีสานจึงเรียกไม้ชนิดนี้ว่า “บกคาย” นั่นเอง

ประโยชน์ในด้านอาหารการกินนั้น มีรายงานว่าเพื่อนบ้านเรา เช่น ชาวลาวและมาเลเซีย นำใบอ่อนมาทำเป็นอาหาร ในประเทศไทยพบการใช้ในตำรายาไทยน้อยมาก ๆ แต่พบการใช้ในตำรับยาพื้นบ้าน โดยเฉพาะพบในตำรับยาพื้นบ้านอีสานไม่น้อยกว่า 5 ตำรับ แต่ขอนำมากล่าวถึงสัก 3 ตำรับ ได้แก่

(1)ยาแก้ออกตุ่ม ให้เอา ฮากส้มกบ (Hymenodictyon orixense (Roxb.) Mabb.) แก่นแตงแซง
(Cananga brandisiana (Pierre) Saff.) แก่นชุมแสง (Xanthophyllum lanceatum (Miq.) J.J.Sm.) แก่นหูลิง (Hymenocardia punctata Wall. ex Lindl.) แก่นช้าคาม (Indigofera galegoides DC.) แก่นเหมือดคน (Helicia robusta (Roxb.) R.Br. ex Blume) แก่นบกคาย (Chaetocarpus castanicarpus (Roxb.) Thwaites) ฮากคางฮุ่ง (Albizia chinensis (Osbeck) Merr.) ฮากก้างปา (Gmelina asiatica L.) แซ่อาบ 1 ที ให้เป่าบวยนึ่ง หมู่นั้นตักฮดเอาอาบ 2 ที ให้เป่า 2 บวย หมู่นั้นตักฮดเอา อาบ 3 ทีเป่า 3 บวย อาบ 7 ที เป่า 7 บวย หมู่นั้นตักฮดเอา ถอดความได้ว่า เมื่ออาบ 1 ครั้ง ให้ตักน้ำยากระบวยหนึ่งแล้วเป่าไปที่คนไข้ เมื่ออาบครั้งที่ 2 ให้เอาน้ำยา 2 กระบวยเป่าไปที่คนไข้ เมื่ออาบครั้งที่ 3 ให้เอาน้ำยา 3 กระบวยเป่าไปที่คนไข้ เมื่ออาบครั้งที่ 7 ให้เอาน้ำยา 7 กระบวยเป่าไปที่คนไข้ ที่เหลือตักรดไปที่คนไข้ให้หมด

(2)เลือดตีขึ้น ทำให้มึนหัว มัวตา วิงเวียน ให้เอาฮากบัวบก (Stephania pierrei Diels) ฮากบกคาย (สำเภา: Chaetocarpus castanicarpus (Roxb.) Thwaites) ฮากบกกิน (กระบก: Irvingia malayana Oliv. ex A.W.Benn.) ต้มกิน

(3)ยาแก้ประดง ให้เอา ฮากตากวาง (กำแพงเก้าชั้น: Salacia verrucosa Wight) ฮากตาไก้
(กำแพงเจ็ดชั้น: Salacia chinensis L.) ฮากดูกใส (ขันทองพยาบาท: Suregada multiflora (A.Juss.) Baill.) ฮากเดื่อป่อง (มะเดื่อปล้อง: Ficus hispida L.f.) ฮากเดื่อเกี้ยง (มะเดื่ออุทุมพร: Ficus racemosa L.) ฮากคอแลน (กรวยป่า: Casearia grewiifolia Vent.) ฮากบกคาย (สำเภา: Chaetocarpus castanicarpus (Roxb.) Thwaites) ฮากชะมัด (สมัดใหญ่: Clausena excavata Burm.f.) ฝนกิน

ชาวสิงหลในศรีลังกา ใช้ใบและรากกันอย่างแพร่หลายในการรักษาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น มีงานวิจัยที่บังคลาเทศ ในปี พ.ศ. 2552 ศึกษาสารสกัดของสำเภาด้วยปิโตรเลียมอีเธอร์ คาร์บอนเตตระคลอไรด์ คลอโรฟอร์ม และเอทิลแอลกอฮอล์ มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียก่อโรคในมนุษย์ 10 ชนิด ได้แก่ Shigella dysenteriae, Salmonella typhi, S. paratyphi, Bacillus subtilis, B. cereus, B. megaterium, Staphylococcus aureus, Pseudomonas aeruginosa, Escherichia coli และ Vibrio cholerae และต้านเชื้อราก่อโรคในมนุษย์ 3 ชนิด ได้แก่ Aspergillus niger, A. ochraceus และ A. ustus

งานวิจัยในปี พ.ศ. 2556 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศึกษาต้นสำเภาที่ขึ้นในพื้นที่ในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) บริเวณเกาะแสมสาร จังหวัดชลบุรี พบว่าสารสกัดหยาบจากเมทานอลมีฤทธิ์ต้านมะเร็งด้วยกลไกการยับยั้งเอนไซม์โทโพไอซอเมอเรสชนิดที่ 1 (topoisomerase I) เมื่อปี พ.ศ. 2567 มีงานวิจัยร่วมกันของบังคลาเทศ อินโดนีเซีย ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอเมริกา พบว่าเปลือกของสำเภาหรือบกคายเป็นแหล่งของสารที่มีคุณสมบัติในการรักษาความผิดปกติทางระบบประสาทได้

จากความรู้ดั้งเดิมพื้นบ้านสู่งานวิจัยในอดีตสู่ปัจจุบัน ต้นสำเภาหรือบกคาย เป็นพืชที่มีศักยภาพทั้งด้านยาและประโยชน์อื่น ๆ แต่เรารู้จักกันน้อยลงและประชากรพืชก็น้อยลงอย่างมาก ยังไม่สายที่มาส่งเสริมให้ปลูกกันมากขึ้น.

https://www.thefest.com/Images/acetoto888/ https://www.thefest.com/Images/acegaming888/ https://www.thefest.com/Images/plazaslot/
slot thailand