“ปลูกปัญญา” ด้วยหัวใจ

ทุกเช้าวันอาทิตย์ การเดินทางไปสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถีเพื่อสอนภาษาอังกฤษ เป็นหนึ่งในภารกิจของงานอาสาสมัครที่ “น้ำหวาน” ให้ความสำคัญและปฏิบัติด้วยความเต็มใจไม่ต่างจากทำภารกิจในแต่ละวันของชีวิต… “ช่วงแรกที่ได้มาทำงานอาสาสมัครทุกอาทิตย์ก็รู้สึกเหนื่อยบ้าง อย่างบางสัปดาห์ที่ทำงานหนักมาทั้งอาทิตย์ก็อยากพัก แต่พอรู้ว่าภาษาอังกฤษของน้องพัฒนาแบบก้าวกระโดดนี่ไม่เคยอิดออดเลย เพราะรู้สึกว่าน้องได้รับเต็มๆ “ถ้าเราได้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาเข้าใจภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น เราก็ภูมิใจ มันเหมือนเขาสำเร็จ เราก็สำเร็จ..”

คุณปิยฉัตร ไตละนันท์ หรือ “น้ำหวาน” กำลังบอกเล่าถึงความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมจากความตั้งใจในการสอนภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่องมานานกว่าหนึ่งปีให้แก่เด็กสาวใน สถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี น้ำหวานหรือ “พี่หวาน” เป็นหนึ่งในอาสาสมัครที่รับผิดชอบสอนภาษาอังกฤษให้แก่เด็กในสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถีมาต่อเนื่องตั้งแต่รุ่นที่ 2-3 จนปัจจุบันเธอยังคงทำหน้าที่อาสาสมัครที่ดีและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่าจะทำงานอาสาสมัครเช่นนี้ต่อไป และหากวันหนึ่งที่ไม่มีเด็กให้สอนหนังสือ เธออาจเปลี่ยนไปช่วยงานอาสาสมัครดูแลและเล่นกับเด็กในสถานสงเคราะห์ต่อไป

เธอเริ่มต้นการทำงานอาสาสมัครครั้งแรก ในฐานะของนิสิตชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ โดยรุ่นพี่ชักชวนให้ทำกิจกรรมอาสาสมัครเลี้ยงน้องที่บ้านเด็กชายปากเกร็ด ซึ่งช่วงระยะเวลากว่า 1 ปีที่ทำอย่างต่อเนื่อง ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการทำงานอาสาสมัครจนถึงทุกวันนี้ ตอนนั้นอยู่ปี 2 เห็นกิจกรรมดูแลน้องตามสื่อต่างๆ ก็คิดว่าน่าสนุกดี และมีประโยชน์สำหรับคนอื่นและตัวเอง ก็เลยลองเข้าไปทำดูจะได้รู้ว่าที่เห็นว่าดี มันดีจริงไหม พอได้ไปลองทำประมาณหนึ่งปีก็ประทับใจ แต่หลังจากนั้นก็แทบไม่มีเวลาว่างเลย ก็ไม่ได้ทำ จนเมื่อประมาณปีที่แล้ว ได้คุยกับเพื่อนที่เป็นอาสาสมัครบ้านพญาไท เขาชวนให้มาทำที่บ้านราชวิถี ก็ส่งลิงก์มาให้ เราก็เลยลองสมัครดู พอมาสมัครก็ไปคุยทำความเข้าใจ ตอนนั้นมีให้เลือกทำอาหาร เล่นกับน้อง แล้วก็สอนภาษาอังกฤษ “หวานเลือกสอนภาษาอังกฤษ เพราะได้รื้อฟื้นความรู้ที่เรียนมา แล้วก็คิดว่าการสอนน้องในเรื่องที่เป็นวิชาการ เรื่องที่เป็นความรู้น่าจะเป็นประโยชน์ น้องสามารถนำเอาไปใช้งานได้จริงๆ”

“การทำงานอาสาสมัครก็เป็นการทำบุญด้วยการให้ความรู้ มันแตกต่างจากการบริจาคเงิน ซึ่งพอให้เงินก็รู้สึกอิ่มใจที่ได้ทำบุญก็จบ คนรับเขาอาจนำไปใช้ได้สามวันเจ็ดวัน แต่การให้สอนหนังสือเป็นการให้ความรู้ ให้ปัญญาที่เขาสามารถนำไปต่อยอดได้ ซึ่งเขาสามารถนำไปใช้ได้ตลอดชีวิต”

เริ่มต้นวันแรกน้องก็เกร็ง พี่ก็เกร็ง พอทำความรู้จักกันแล้ว เราก็เอาเนื้อหาที่เราเตรียมไปแบบเต็มที่ พอสอนเสร็จ ก็ถามว่าเข้าใจไหม น้องบอกเข้าใจ แต่พอเราถามกลับไป เขาก็ตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง ดูไม่ค่อยเข้าใจจริงๆ

ประมาณ 3 อาทิตย์แรกๆ ก็เริ่มรู้ว่าต้องมีการปรับการเรียนการสอนใหม่ เพราะเราสังเกตว่าน้องสนใจได้แป๊บเดียว ก็เริ่มเหม่อ แล้วค่อยกลับมาสู่บทเรียน ดูน้องหลุดๆ ก็มาทบทวนว่าคงต้องเปลี่ยนวิธีการสอน คุยให้ดูเป็นกันเองมากขึ้น ปรับมาเรื่อยๆ เรียกได้ว่าปรับทุกอาทิตย์ จนทำให้การเรียนการสอนมันลงตัวและเขาได้เนื้อหาจริงๆ “น้องเรียนภาษาอังกฤษมาจากโรงเรียนแล้ว ทั้งการอ่าน ไวยากรณ์ และการฟัง จึงควรเสริมจุดที่น้องไม่เข้าใจมากกว่า ก็คุยกันเลยว่าน้องอยากรู้ อยากเรียนอะไร เดี๋ยวพี่สอนให้ น้องไม่เข้าใจตรงไหน พี่จะสอนน้องให้เข้าใจ โดยตอนแรกๆ จะปูพื้นฐานไปบ้างให้พอเข้าใจ คอยแนะนำช่องทางให้เขาสามารถไปต่อได้ แต่จะไม่ยัดเยียดความรู้ให้กับเขา จะสอนสิ่งที่เขาอยากรู้มากกว่า”

นอกจากเรื่องของการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ สองพี่น้องยังคุยกันถึงเรื่องกว้างขวางกว่านั้น ปกติเราจะคุยกันเรื่องอื่นๆด้วย ไม่เฉพาะเรียนภาษาอังกฤษอย่างเดียว จะถามว่าช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง เราก็ถามว่าอนาคตอยากเป็นอะไร เขาบอกอยากเป็นครูภาษาไทย เพราะอยากสอนคนให้เรียนรู้เรื่องและมีความรู้ บางทีน้องก็ถามเรา ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นยังไง เขาจะไปถึงจุดนั้นไหม ทำอย่างไรที่จะไปให้ถึง ด้วยความที่อยู่ด้วยกันมาเกือบปี เขาเปิดให้เราเข้าหาเขามากขึ้น ต่างฝ่ายต่างเปิดสามารถพูดคุยกันได้เหมือนพี่เหมือนน้อง มันเป็นประสบการณ์และความรู้สึกที่ดีมากค่ะ เหมือนตอนแรกๆ น้องเขาจะเกร็ง พอนานไปเขาก็เปิดกว้าง ความมีน้ำใจ ความห่วงใย เขาก็เริ่มแสดงให้เราเห็น ก็รู้สึกดีมากที่น้องเป็นห่วงเรา

“ไม่คิดว่าตัวเองจะใจเย็นสอนหนังสือ อธิบายเรื่องเดิมๆ เรื่องซ้ำๆ ได้นานขนาดนี้ ปกติหวานจะเป็นคนใจร้อน ทำอะไรเร็วๆ พอมาสอนน้องจริงๆ ก็พบว่าเราก็มีมุมที่ใจเย็น พอสอนไปเรื่อยๆ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองกลายเป็นคนใจเย็นไปเลย”

แล้วอะไรเป็นแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้เธอยอมอดทนเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย?..

น้ำหวานตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่ชัดเจนว่า “แรกๆ เลยหวานมองว่าเขาด้อยโอกาส เขายอมเปิดตัวเอง เพื่อรับเราเข้ามาทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ การที่ใครคนหนึ่งจะเปิดกว้างให้ใครคนหนึ่งเข้ามาในชีวิต เราเป็นใครก็ไม่รู้ แล้วเขามอบเกียรตินี้ให้แก่เรา ทำไมเราจะไม่ทุ่มเทให้เขา เราก็ทุ่มเทความรู้และประสบการณ์ชีวิต ถามอะไรเราก็บอกหมด สอนหมดทุกอย่าง เราก็ดีใจภูมิใจที่ได้ให้ และได้พบมุมที่ดีของตนเองด้วย”

ที่มา : หนังสือเส้นทางอาสา เส้นทางความสุข
โครงการพลังอาสาสมัคร สร้างสุขให้เด็กในสถานสงเคราะห์ มูลนิธิสุขภาพไทย

บทความที่เกี่ยวข้อง

ของขวัญปีใหม่ ด้วยใจอาสา

admin 19 มิถุนายน 2019

ดูรายละเอียด การสมัครเป็นอาสาสร้างสุขให้เด็กในสถานสงเคร […]

ทศวรรษฉลาดทำบุญ กับคุณค่าต่อสังคม

admin 19 มิถุนายน 2019

งาน 10 ปี โลก(จิต)อาสา : ทศวรรษฉลาดทำบุญกับคุณค่าต่อสัง […]