ดื่มน้ำตะไคร้ต้านภัยโรคยามวิกฤติโควิด-19

จะประมาทการ์ดตกไม่ได้เลยเป็นอันขาด แม้ไทยจะได้ชื่อเสียงว่ามีมาตรการป้องกันโควิด-19ได้ดีที่สุดในโลก และด้วยสถิติการติดเชื้อภายในประเทศเกือบติดศูนย์ รัฐบาลไทยจึงคลายล็อคให้ประชาชนออกจากบ้านได้ แต่ก็ยังไม่ปลดล็อคมาตรการหยุดเชื้อเพื่อชาติ ด้วยการใส่หน้ากาก ล้างมือ และตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายทุกคนก่อนเข้าแหล่งสังคม แม้เชื้อโควิด-19 ภายในประเทศแทบจะตรวจไม่พบแล้ว แต่เชื้อภายนอกประเทศยังชุกชุมอยู่ และอาจนำเข้ามาจากต่างประเทศโดยเส้นทางหลักและช่องทางธรรมชาติที่คาดไม่ถึง จึงประมาทไม่ได้โดยเด็ดขาด

มีเสียงบ่นเล็กๆ จากคลินิกเวชกรรมว่า ปกติในยามฝนชุกแบบนี้ ต้องมีคนไข้ปวดหัวตัวร้อนด้วยไข้หวัดธรรมดาและหวัดใหญ่มาหาหมอกันมากมาย แต่วสันตฤดูปีนี้ แทบไม่มีผู้ป่วยไข้หวัดมาหาหมอเลย แถมผู้ป่วยด้วยโรคทางเดินอาหารเช่น ท้องเสีย ท้องร่วง บิด ก็พลอยลดน้อยลงไปด้วย ปรากฏการณ์นี้ฟันธงได้เลยว่าเป็นผลพวงจากมาตรการป้องกันเชื้อโควิด-19 เข้าสู่ร่างกายทางจมูกและปาก ด้วยการสวมหน้ากาก ล้างมือ ข้อสังเกตในที่นี้ก็คือ อาการสำคัญเบื้องต้นที่บ่งชี้ความน่าจะเป็นของการเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 มี 2 อาการหลัก คือ ไข้สูงเกิน 37.5 องศาเซลเซียส และอาการท้องเสีย แต่ปรากฏว่าในช่วงโควิด-19รอบสองที่กำลังระบาดทั่วโลก แต่ไทยกลับเป็นประเทศเกือบปลอดโควิด-19 แถมผู้ป่วยด้วยไข้ตัวร้อนและท้องเสียก็น้อยลง แต่ในช่วงปลดล็อคออกนอกบ้านได้เสรี ไม่มีเคอร์ฟิว เหมือนก่อน แต่ยังมีพ.ร.บ.ฉุกเฉินไว้ปราบม็อบโควิด(ฮา) คนไทยก็ต้องระวังรักษาสุขภาพด้วยตัวเองมากขึ้น เพื่อให้ปลอดพ้นจากภัยโควิด-19 และโรคร้ายต่างๆ ที่มาพร้อมกับหน้ามรสุมซ้ำรุมด้วยโควิดรอบสองอีกยาวนานเท่าไรก็ไม่รู้

สมุนไพรใกล้มือที่ซื้อหาไม่แพง แต่เป็นบอดี้การ์ดคุ้มครองสุขภาพได้อย่างดีที่ขอแนะนำยามฝนชุกนี้คือ ตะไคร้ (ชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Cymbopogon citrates Stapf.) เพราะมีสรรพคุณหลักคือ ลดไข้ แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ ข้อมูลที่ควรรู้คือ ตะไคร้  ไม่ใช่พืชพันธุ์ต่างด้าวแถบอเมริกาใต้หรือแอฟริกามาดากัสการ์ตามที่มักเข้าใจผิดกัน แต่มีถิ่นกำเนิดเก่าแก่ในภาคพื้นเอเชียใต้และเอเชียตะวันตกเฉียงใต้อันเป็นที่ตั้งของแดนดินถิ่นสุวรรณภูมิของไทยด้วย  ดังนั้นตะไคร้จึงเป็นพืชผักสวนครัวยอดนิยมที่มีชื่อเรียกประจำถิ่นต่างๆ ทั่วไทย เช่น จะไคร(เหนือ), คาหอม(เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), ห่อวอตะโป่(กระเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), หัวสิงไค(อีสาน), เซิดเกรยหรือเหลอะเกรย(เขมร-สุรินทร์), ไคร(ใต้) เป็นต้น

ในคัมภีร์อายุรเวทของอินเดียกล่าวว่า ตะไคร้มีรสเผ็ดร้อน ขม ช่วยขจัดพิษออกจากร่างกาย รักษาโรคหลอดลมอักเสบได้ผลดี ส่วนสรรพคุณตามตำรายาไทยและพื้นบ้านกล่าวว่า รสหอมปร่าของตะไคร้ทั้งต้น ช่วยเยียวยาโรคอย่างน้อย 4 กลุ่มอาการ คือ (1)กลุ่มอาการไข้ ได้แก่ ลดไข้ทั่วไป แก้ไข้ทรางในเด็ก แก้ไข้พิษ ไข้มาลาเรีย (2)กลุ่มโรคทางเดินหายใจ ได้แก่ แก้หวัด คัดจมูก แก้เจ็บคอ แก้หืด (3)กลุ่มโรคทางเดินอาหาร ได้แก่ แก้ท้องเสีย ขับลมในลำไส้ ซึ่งช่วยแก้ท้องอืดเฟ้อ แก้ปวดท้อง แก้อาเจียน ทั้งยังบำรุงไฟธาตุ ซึ่งช่วยย่อยอาหารให้แหลกและเจริญอาหาร  (4)กลุ่มโรคทางเดินปัสสาวะ ได้แก่ แก้เบาพิการ  ขับปัสสาวะอ่อนๆ ขับนิ่ว  แก้กษัยไตพิการ ทั้งยังช่วยให้ประจำเดือนของสุภาพสตรีมาตามนัด

สรรพคุณโบราณของตะไคร้ดังกล่าวสอดคล้องกับผลงานวิจัยทางเภสัชสมัยใหม่ ที่ยืนยันว่าซิตรัล(Citral) สารสำคัญในน้ำมันตะไคร้ มีฤทธิ์ลดไข้ ต้านเชื้อมาลาเรียในกระแสเลือด ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราหลายชนิดที่ก่อโรคในระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหาร ทั้งยังยับยั้งเชื้อไวรัสเริมได้อีกด้วย ดังนั้นจึงมีการทำเจลผสมน้ำมันตะไคร้เพียง 5% w/w สำหรับล้างมือฆ่าเชื้อ เรื่องฤทธิ์ฆ่าเชื้อลดบวมสมานแผลของตะไคร้นั้น เป็นภูมิปัญญาที่ชาวบ้านรู้กันมานาน เวลาไก่ขาหัก อักเสบ บวมเดินไม่ได้ เขาจะใช้ใบตะไคร้ 3-4 ใบยาวพอประมาณนำมาขยี้ให้มีกลิ่นน้ำมันหอมระเหยออกมา แล้วเอามาพันเป็นเฝือกรอบขาไก่ เปลี่ยนใบตะไคร้วันละครั้ง ราว 5 วัน ไก่เดินได้ปร๋อเลย อธิบายได้ว่าน้ำมันตะไคร้ช่วยฆ่าเชื้อแก้อักเสบ ลดบวม และความร้อนของน้ำมันตะไคร้ ช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนมารักษาบริเวณที่อักเสบนั่นเอง

ต่อไปนี้เป็นวิธีต้มน้ำตะไคร้ดื่มเป็นยาอย่างง่ายที่สุด คือ เอาตะไคร้สดทั้งต้น ใบ เหง้า ราก ราว 3 ต้น แล้วพับใบขดเป็นมัด ใส่หม้อต้ม มีน้ำพอท่วมยาต้มจนเดือด แล้วจึงราไฟลงให้น้ำเดือดอ่อนๆ ไปสัก 5-10 นาที กรองเอาน้ำตะไคร้ดื่มขณะอุ่น ครั้งละครึ่งแก้ว (ราว100 ซีซี) วันละ 3 เวลาหลังอาหาร เพียงเท่านี้รับรองได้ว่าอาการไข้ เป็นหวัด คัดจมูกและท้องเสีย ปวดท้อง จะไม่มาเยี่ยมกรายท่านอีกเลย โดยเฉพาะผู้สูงอายุเมื่อขับปัสสาวะเป็นปกติ ความดันโลหิตก็จะอยู่ในเกณฑ์ปกติด้วย โดยไม่ต้องกินยาฝรั่งเป็นอาจิณ ซึ่งอาจมีผลเสียต่อสุขภาพตามมา

ขณะนี้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า โควิด-19 ไม่จบในปีนี้แน่และไม่รู้จะจบในปีไหน ดังนั้นเกิดเป็นคนไทยต้องป้องกันภัยให้ตัวเองนอกจากใส่หน้ากาก ล้างมือแล้ว ควรดื่มน้ำตะไคร้เป็นประจำด้วย เพื่อเป็นตัวช่วยคุ้มครองสุขภาพจ้า.