ตรีผลายาไทย ต้านภัยโรคอ้วน

วันอ้วนโลก (World Obesity Day) ริเริ่มขึ้นในปี 2558 เพื่อเตือนให้ชาวโลกตระหนักรู้ถึงมหันตภัยของการมีมวลกายสูงเกินพิกัด ว่าไม่ใช่ภาวะปกติแต่เป็น “ภาวะโรค” อันตรายอย่างหนึ่ง จึงบัญญัติชื่อเรียกว่า “โรคอ้วน”เพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ร้ายแรงอีกหลายชนิดที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตระดับท็อปเทน เช่น โรคหัวใจล้มเหลว โรคสโตรค เฉพาะแค่โรคหลอดเลือด 2 โรคนี้ก็ทำให้คนไทยเสียชีวิต อย่างน้อยปีละ 3 หมื่นรายต่อโรคเลยทีเดียว

นี่ยังไม่นับโรคความดันโลหิตสูง โรคตับคั่งไขมัน โรคเบาหวาน ซึ่งคนทั่วไปมักไม่รู้ว่าสาเหตุหลักมาจากภาวะอ้วนลงพุง โดยเฉพาะคนอ้วนที่มีรอยปื้นดำที่ลำคอ ให้ฟันธงไว้ก่อนเลยว่าคนผู้นั้นเป็น โรคเบาหวาน และรอยปื้นดำนั้นเกิดจากการดื้ออินซูลิน ดังนั้นอย่าไปหลงเชื่อครีมยี่ห้อใดว่าจะขัดออกได้ มีแต่ต้องลดพุง ลดน้ำหนักเท่านั้นจึงจะทำให้รอยปื้นดำหายไปเอง

วันนี้คนไทยกว่า 20 ล้านคนหรือเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรเป็นโรคอ้วน คือมีเส้นวัดรอบเอวมากกว่าครึ่งหนึ่งของส่วนสูง โดยมีความชุกของโรคอ้วนในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า แต่ที่น่าวิตกคือ ในจำนวนนี้มีเด็กเป็นโรคอ้วนกว่า 10 % หรือกว่าล้านคน จากจำนวนประชากรเด็ก (อายุ 0-14 ปี) ราว 12 ล้านคน เพราะคนอ้วนมีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยหนักและเสียชีวิตเมื่อติดเชื้อโควิด-19 โรคอ้วนส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ จากไขมันภายในช่องท้องดันกล้ามเนื้อกระบังลมขึ้นไปในทรวงอกมากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อกระบังลมทำงานได้ไม่เต็มที่ ไขมันที่ทรวงอกมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นทำให้กล้ามเนื้อต้องออกแรงมากขึ้นเพื่อให้ทรวงอกขยายตัว แรงต้านมากขึ้นทำให้ปริมาตรของอากาศเข้าปอดน้อยลง หลอดลมอาจปิด ถุงลมของปอดส่วนล่างแฟบลงทำให้การแลกเปลี่ยนของก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง ส่งผลให้หายใจถี่ขึ้น เกิดภาวะออกซิเจนต่ำโดยเฉพาะเวลานอนหงาย ซึ่งเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบว่าสตรีที่เป็นโรคอ้วนมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกมากกว่าสตรีน้ำหนักปกติ 2 – 4 เท่า

แปลกแต่จริงที่วงการแพทย์แผนปัจจุบัน โดยองค์การอนามัยโลกเพิ่งรับรองว่าโรคอ้วนเป็นโรคทางระบาดวิทยาทั่วโลกอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2540 กล่าวคือยอมรับว่าภาวะอ้วนเป็นโรคไม่ติดต่อที่เป็นภัยคุกคามชีวิตและสุขภาพของประชากรทั่วโลก ในขณะที่ทฤษฎีการแพทย์แผนไทยโบราณกล่าวไว้นานมาแล้วว่า ภาวะอ้วนนั้นเป็นภาวะของร่างกายที่ไม่ปกติ ต้องได้รับการบำบัดรักษาในฐานะที่เป็นโรคประเภทหนึ่ง ดังเช่นใน “คัมภีร์วรโยคสาร” ซึ่งถือได้ว่าเป็นตำราโภชนาการของแพทย์แผนไทยที่กล่าวถึง อาหารที่เป็นประโยชน์หรือก่อให้เกิดโรค รวมทั้งการรักษาสมดุลของมวลร่างกายด้วยในบทที่ว่าด้วย “เทหลักษณะ 3” หรือลักษณะของมวลกาย (เทหะ) 3 ประการ ได้แก่ 1)กฤษเทหะ คือ มวลกายผอม 2)ถูละเทหะ คือ มวลกายอ้วน 3)มัชฌิมเทหะ คือ มวลกายปกติ ท่านสรุปว่ามวลกายทั้งอ้วนและผอมถือเป็นลักษณะผิดปกติ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังกล่าวถึง “อาทานลักษณะ” คือโรคอันบังเกิดจากลักษณะอาหารต่างๆ ที่รับเข้า (อาทาน) สู่ร่างกาย กล่าวคือ กินอาหารอย่างไร สุขภาพก็เป็นอย่างนั้น

ในคัมภีร์วรโยคสารกล่าวไว้ชัดว่า “คนอ้วนพึงกระทำให้ผอม” ด้วยยาสมุนไพรถึง 4 ตำรับ แต่ในที่นี้ขอยกมา 3 ตำรับที่สามารถหาเครื่องยามาปรุงได้ง่ายตามคัมภีร์แพทย์แผนไทย ดังนี้ “คนอ้วนจะกระทำให้ผอมนั้นจะกล่าวยาหน่อยหนึ่ง (1)เอายาตรีผลา คือ สมอเทศหรือสมอไทย(อย่างใดอย่างหนึ่ง) สมอพิเภก มะขามป้อม ตำเป็นผง (2) ขนานหนึ่งให้เอา สมอ แห้วหมู บอระเพ็ด ตำเป็นผง ยาทั้ง 2 ขนานนี้ละลายน้ำผึ้งกินหรือกวาดก็ได้” ขนานที่ 3 ให้เอา ”ตรีผลา(เนื้อสมอไทย เนื้อสมอพิเภก เนื้อมะขามป้อมอย่างละเท่าๆกัน) (แก่น)ประดู่ (ราก)เจตมูลเพลิง แก่นขี้เหล็ก ขมิ้นชัน ยา 5 สิ่งนี้ต้มกิน เมื่อจะกินแทรกน้ำผึ้งตามสมควร มีคุณมากเกิดกำลังดังช้างสาร กินไปเดือนหนึ่ง กายอ้วนกลับผอมเป็น ปรกติดีแล”

ตำรับยาผง 2 ขนานแรก ละลายกระสายน้ำผึ้ง กินครั้งละ 1 ช้อนชา ก่อนอาหาร 3 เวลา เป็นเวลา 1 เดือน นี่เป็นขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่ เด็กลดลงตามส่วน หรือถ้าเป็นเด็กเล็กให้ใช้เป็นยากวาดก็ได้ ส่วนสูตรยาต้มนั้นใช้สมุนไพรหนักสิ่งละเท่าๆ กัน เช่น สิ่งละ 50 กรัม ต้มกับน้ำ1,500 ซีซี ให้เหลือน้ำยาราว 500 ซีซีแบ่งกินครั้งละ 150 ซีซี ผสมน้ำผึ้งให้มีรสพอดื่มได้ 3 เวลาก่อนอาหาร เฉพาะยาตำรับนี้ให้ใช้สำหรับผู้ใหญ่เท่านั้น ท่านว่ากิน 1 เดือน นอกจากลดน้ำหนักได้แล้ว หุ่นยังฟิตและเฟิร์ม แถมมีกำลังดังช้างสาร นี่ตำราโบราณท่านว่าไว้เพื่อจูงใจให้ใช้ยา เชื่อว่าทำให้หุ่นดีแน่ แต่จะแรงดีหรือไม่ก็ให้ลองดูกันเอง

แคมเปญให้คนทั้งโลกและคนไทยไร้พุง พ้นภัยวิกฤต “โรคอ้วน” (Obesity Crisis) ก่อนปี 2568 ซึ่งยังเหลือเคาท์ดาวน์อีกแค่ 2 ปีเท่านั้น และประเทศไทยได้ชื่อว่ามีคนลงพุงสูงสุดในเอเชียอาคเนย์ นี่ยังไม่นับสถิติเด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ขวบเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นราวปีละ 38 % ดังนั้น ประเทศไทยจะวิ่งเข้าเส้นชัยชาติไร้พุงก่อนปี 2568 ได้หรือไม่ สมุนไพรไทยคงช่วยได้ส่วนหนึ่ง แต่จะให้ได้ผลจนหุ่นดี ก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ปรับสูตรอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หมั่นวัดรอบพุงทุกวัน โดยเฉลี่ยหญิงอย่าให้เกิน 80 ซม. ชายให้ต่ำกว่า 90 ซม.

ไร้พุงอย่างเดียว ห่างโรคภัยไปหลายอย่างแน่นอน.